LOTTOUP
โดนง่าย ถอดใจ เอาไรไปสู้เขา
โดนง่าย ถอดใจ เอาไรไปสู้เขา

5-6 ปีก่อนผมเคยนั่งเถียงกับเพื่อนในประเด็นที่ว่าหากมีการดึงถูไถในเขตโทษกับจังหวะบอลลอยโด่งเกินกว่าที่ใครจะเล่นได้มันไม่ควรเป็นจุดโทษ

ผมยืนยันว่ายังไงก็ไม่ควรเป็นจุดโทษ หาไม่แล้วเราได้เห็นจุดโทษกันทุกเกม จะเอาประตูชาวบ้านแบบนี้มันง่ายไปไหม

เพราะหลักคอมมอนเซนส์คือดึงไม่ดึงล้มไม่ล้มยังไงก็ไม่มีใครเล่นบอลจังหวะนี้ได้ เมื่อไม่มีส่วนการเล่น

แต่คำถามย้อนกลับคือถ้าไม่มีใครเล่นได้แล้วมึงจะไปดึงทำหาพระแสงอะไรให้ตัวเองเดือดร้อน?

สมัยที่ มาร์ติน สเตอร์เทล ยังค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ดึงแบบยูโดโดยไม่สนว่าบอลจะอยู่ตรงไหน

เคยโดนจุดโทษในสถานการณ์ที่ดึงแบบหน้าด้านๆต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสินมาแล้วก็มี

อย่างไรก็ตามสมัยนั้นไม่มี VAR ย้อนดูวนไปวนมาเหมือนปัจจุบัน ถ้าไม่ต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสินก็โชคดีไปซึ่ง ฮอยลุนด์ หรือนักบอลสมัยนี้ควรรับรู้ด้วยตัวเองว่ากล้องมีอยู่รอบสนามเต็มไปหมด

จุดโทษที่ แมนฯยูฯ​ เสียให้ ซิตี้ น้อง “หอย” ดึงแบบไม่แคร์โลก ดึงแบบตัวเองเสียตำแหน่งยืนอยู่ด้านหลัง โรดรี้ และเป็นการ “ดึงแช่” (ไม่ใช่ดึงแล้วปล่อยเหมือนพวกที่เป็นงาน) ยิ่งทำให้ผู้ตัดสินพิจารณาง่ายเข้าไปอีก

จุดโทษ 1-0 ทำให้ก่อนหน้านี้เกมรับของ “ปีศาจแดง” กำลังทำได้ดีมีวินัยใฝ่คุณธรรมกลายเป็นรวนและคุมตัวห่างขึ้นทันที

ในวันที่ โอนาน่า ผีเข้าเซฟอุตลุตแต่เพื่อนร่วมทีมกลับใจไม่สู้โดยเฉพาะตอนโดนไว 2-0 ตั้งแต่นาทีที่ 4 ของครึ่งหลัง มันชัดเจนว่านักเตะ ยูไนเต็ด ถอดใจไม่เอาอะไรแล้ว

สิ่งที่เห็นหลังจากนั้นคือวิ่งเหยาะแหยะ ยืนดูบอล ทุกอย่างเป็นภาพสโลว์ไปหมด สงสารพวก “เร้ดอาร์มี่” ที่เล่นในบ้านตัวเองแท้ๆแต่นักเตะตัวเองกลับใจเสาะยอมมอบตัวง่ายฉิบ

ลูก 3-0 ปิดกล่องของ โฟเด้น นี่โคตรชัดเจนครับ จุดหายนะเริ่มตั้งแต่หน้าเขตโทษของ ซิตี้ ด้วยซ้ำ!!

น้ำไฟเน็ตไม่เข้าหรืออย่างไรไม่ทราบบอลตามหลังแต่ไม่มีผู้เล่นเจ้าถิ่นพยายามเข้าหาบอล ยืนดูเขาเคาะบอลไปมา จนกระทั่งบอลถูกลำเลียงกินแดนขึ้นมาเรื่อยๆ

ที่น่าเกลียดสุดๆคือแม้กระทั่งบอลอยู่ในจุด “หวงห้าม” หน้าเขตโทษตัวเองยังไม่มีใครกระตือรือร้นขยับเข้าหา ปล่อยให้ โรดรี้ ลากยิงหน้าเขตโทษแบบนั้น

เรียกว่ากีฬาเจ็ดสียังไม่มีพื้นที่มีเวลาอะไรขนาดนี้เลยด้วยซ้ิำ!!

ยังไม่พอ อีแวนส์ ยืนขาตายมอง ฮาลันด์ ที่ตื่นตัวกว่าวิ่งไปเก็บตกลูกเซฟของ โอนาน่า และไม่ต้องบอกนะครับว่าจังหวะเขาฮอร์สใครช้าใครเร็วกว่า

จริงๆ แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ “ระทึก” ได้กว่านี้ โอกาสของเจ้าถิ่นไม่ใช่ว่าไม่มี โอกาสยิงติดเซฟเต็มข้อของ แม็คโทฯ, ลูกหลุดเดี่ยวของ ฮอยลุนด์, ลูกพักอกยิงของ แรช ซึ่งไม่ได้กลับมาเลยซักลูก

ครับโดยรวมแล้วค่อนข้างขัดหูขัดตาผมไม่น้อยในจังหวะเกมรุกที่ผู้เล่นผีแดงยืนตามจุดเหมือนถ่ายหนังมากไปหน่อย

เจอกับ “เรือใบ” ที่ตามตัวเก่งโคตรๆแบบนี้อย่างน้อยต้องวิ่งเพื่อให้เพื่อนวางบอลวัดได้เสียกันไปเลย เท่าที่เห็นก็มีแค่นาที 69 ที่ แรช วิ่งให้ เอริคเซ่น วางยาวก่อนหลุดไปยิงหลุดเสานั่นแหละครับ

จุดที่ทำให้ แมนฯยูฯ ไม่สามารถคายศักยภาพตัวเองออกมาได้เต็มที่คือการที่ บรูโน่ ถูกจับถ่างไปเล่นริมเส้นนี่แหละครับ มุมการจ่ายบอลถูกจำกัด มีส่วนร่วมกับเกมก็จริงแต่ห่างไกลระยะอันตรายมากไป

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “พังยับ” เพราะแผนนี้แต่เหมือน เอริค เทน ฮาก ไม่เคยเอามาเป็นบทเรียน เอาหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดไปเสียของในเกมสำคัญซะงั้นพ่อคุณเอ้ย

เช่นเดียวกับ เมสัน เมาท์ ที่จนบัดนี้หลายๆคนก็ยังไม่เข้าใจว่า ETH ซื้อมาทำไม ไม่มีอะไรเลย จะไปเล่นตำแหน่งไหนก็ทับกับคนอื่นที่เล่นดีกว่าทั้งนั้น

ลำพังแค่เริ่มต้นเรื่องง่ายๆอย่างมีส่วนร่วมกับเกมยังทำไม่ได้เลย เป็นวิญญาณล่องลอยจนเหมือนไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ

ภาพแย่ๆของ แอนโธนีย์ ตัวสำรองออกอาการหัวร้อนไปหวดเขาดื้อๆ เจตนาเล่นคนเหมือนบอลเดินสายบ้านเราตอกย้ำชัดเจนว่าวันนี้ “ปีศาจแดง” แพ้หมดรูปจริงๆครับ…

สถิติ สถิติ สถิติ

ในเกมพรีเมียร์ลีก เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยิงหรือจ่ายเฉลี่ยในทุกๆ 64 นาที เป็นสถิติที่ดีที่สุดเหนือทุกคน (นับเฉพาะลงเล่นอย่างน้อย 40 เกม)

64 – เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

86 – เธียร์รี่ อองรี

86 – แซร์คิโอ อาเกวโร่

93 – โม ซาลาห์

102 – โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์

นอกจากนี้ “จอมมารบลู” เป็นผู้เล่นที่ยิงเกมเยือนครบ 20 ลูกเร็วกว่านักเตะคนอื่นๆในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย

23 – เออร์ลิ่ง ฮาลันด์

28 – เควิน ฟิลลิปส์

31 – เอียน ไรท์

33 – ดิเอโก้ คอสต้า

33 – โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์

นี่เป็นชัยชนะเกมที่ 7 ใน โอลด์แทรฟฟอร์ด ของ เป๊ป กวาดิโอล่า มีเพียง อาร์เซนอล (8) เท่านั้นที่ เป๊ป บุกไปชนะเกมเยือนคู่แข่งทีมเดิมมากที่สุด

นับตั้งแต่ เป๊ป เข้ามาคุม ซิตี้ เมื่อปี 2016 เขาโกยแต้มมากกว่า แมนฯยูฯ ถึง 145 แต้ม (649 ต่อ 504) โดยชนะมากกว่าคู่ปรับร่วมเมืองมากถึง 60 นัด (205 ต่อ 145) แถมยิงประตูมากกว่า 229 ลูก (681 ต่อ 452)

แมนฯยูไนเต็ด แพ้ 5 จาก 10 เกมในพรีเมียร์ลีกเข้าให้แล้ว (ชนะ 5 แพ้ 5) นับเป็นความพ่ายแพ้จาก 10 เกมแรกที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1986-87 นู่นเลย

ที่มา: soccersuck